ศิลปะของโยเซฟ บอยส์
ปั้นรูปสังคมราวกับเป็นประติมากรรม

โยเซฟ บอยส์เป็นจิตรกร ประติมากร ศิลปินนักจัดวางและนักกิจกรรม เป็นครู เป็นนักการเมืองและนักเคลื่อนไหวสังคม กล่าวคือ เขาเป็นศิลปินคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งของศตวรรษที่ 20 ดังผลงานของเขาที่ยังทรงอิทธิพลมาจนถึงทุกวันนี้
เขาไปแตะขอบเขตที่บางครั้งทำให้เจ็บปวด ควรจะเจ็บปวด และหากใครยังไม่เคยเห็นผลงานของโยเซฟ บอยส์แล้วละก็ คงจะไม่รู้จักประโยคของเขาที่มีการนำไปอ้างอิงมากมายแต่ก็ใช้ผิดความหมายอยู่บ่อยครั้งเช่นกัน คือประโยคที่ว่า “คนเราทุกคนเป็นศิลปิน” เขาไม่ได้จะพูดว่า คนทุกคนนั้นเป็น จิตรกร สถาปนิกหรือนักประพันธ์เพลงแต่อย่างใด แต่ในทุกการกระทำของมนุษย์นั้นสามารถเข้าถึงขั้นของการกระทำศิลปะได้ต่างหาก ด้วยมุมมองเช่นนี้ บอยส์จึงได้เปลี่ยนแปลงความเป็นตัวตน ความเป็นรูปธรรม ขอบเขตและหน้าที่ของศิลปะอย่างถึงแก่นมาจนทุกวันนี้
โยเซฟ บอยส์นับได้ว่าเป็นผู้ที่มีความโดดเด่นอย่างเห็นได้ชัด ด้วยความยินดีที่จะต่อตีกับสื่อและความไม่ปรานีที่เขาได้แสดงออกมาในกิจกรรมทางศิลปะจนถึงขั้นปัญหาสุขภาพ ได้ส่งอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงต่อศิลปินรุ่นใหม่ รายชื่อลูกศิษย์ของเขาในช่วงที่เขาเป็นอาจารย์ที่สถาบันศิลปะดึสเซลดอร์ฟแสดงให้เห็นว่า “ใครเป็นใคร” ในยุคเริ่มแรกของภูมิทัศน์ศิลปะในเยอรมันตะวันตก Imi (เคลาส์ โวล์ฟ) คเนอเบิล, Imi (ไรเนอร์) กีเซ, บลิงกี พาแลร์โม, นอร์แบร์ต ทาดอยส์, อนาโทล แฮร์ซเฟลด์, บาซอน บร็อค, คริส ไรเน็คเค, คาทารินา ซีเวอริง, เอรินนา เคอนิก, ไรเนอร์ รูเทนเบ็ค, โยฮันเนส ชตึทท์เกน – พวกเขาทุกคนได้ร่วมเรียนกับบอยส์ในห้องเรียน 19 ของสาขาวิชามหาประติมากรรม ในบรรดาลูกศิษย์ของเขา คนที่โด่งดังในระดับนานาชาติมากที่สุดจวบจนปัจจุบัน ก็คือ เยิร์ก อิมเมนดอร์ฟฟ์ จิตรกร ประติมากรและศาสตราจารย์ทางศิลปะผู้เสียชีวิตในปีค.ศ. 2007 ผู้นี้ ได้เข้าเรียนในชั้นเรียนของบอยส์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1964 หลายสิบปีหลังจากนั้นอิมเมนดอร์ฟฟ์ยังคงถกเถียงกับความสัมพันธ์ที่มีต่ออาจารย์บอยส์ผู้ล่วงลับไปในปีค.ศ. 1986 ผู้ที่กระตุ้นให้เขาเกิดความกล้าที่จะแหวกขนบนำหัวข้อและรูปแบบที่แปลกใหม่มาใช้ในงานจิตกรรรม
การทุบตอกสลักสังคม
ในด้านเนื้อหานั้น บอยส์ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สุดโต่งในสังคม ต่างกับศิลปินคนอื่นๆ ในยุคเดียวกัน เขาได้เอาศิลปะมาพันผูกกับสังคม เชื่อมโยงศิลปะเข้ากับการเมือง วิทยาการ ปรัชญาและเศรษฐกิจ จุดเปลี่ยนคือ ทฤษฎีของเขาเรื่องประติมากรรมสังคม หนึ่งในหัวข้อที่เขาได้ทำงานและจัดแสดงในนิทรรศการ documenta ที่เมืองคาสเซลในปีค.ศ. 1982 ในชุดงานด้านสังคมนิเวศของเขา „7000 Eichen – Stadtverwaldung statt Stadtverwaltung“ (ต้นโอ๊ค 7,000 ต้น - พฤกษบาลแทนเทศบาล) โดยบอยส์และอาสาสมัครหลายคนได้ปลูกต้นไม้จำนวน 7,000 ต้นในระยะเวลา 5 ปีพร้อมวางหินบะซอลท์ไว้ที่ต้นไม้แต่ละต้นในสถานที่ต่างๆ ในเมืองคาสเซล โปรเจ็คท์ที่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในช่วงแรกนี้กลับกลายเป็นส่วนที่เป็นเอกลักษณ์ของภาพเมืองคาสเซลในปัจจุบัน
“แนวคิดเรื่องประติมากรรมสังคม – แม้ว่าผมจะไม่ค่อยชอบคำนี้ก็ตาม – อาจเป็นมรดกด้านศิลปะอันยิ่งใหญ่ที่บอยส์ได้ทิ้งเอาไว้” กล่าวเสริมโดย ฟิลิปป์ รูค นักปรัชญาและศิลปินนักกิจกรรม เขาเป็นผู้อำนวยการศูนย์สุนทรียการเมือง (ZPS) ซึ่งเป็นแหล่งรวมศิลปินนักกิจกรรมและผู้สร้างสรรค์งาน ที่ได้จัดการดูแลโปรเจ็คท์ศิลปะแนวปลุกระดมมาตั้งแต่ปีค.ศ. 2009 “ศิลปินนักกิจกรรมทุบและตอกเพื่อสลักสังคมแทนที่จะไปทำกับก้อนหิน วัสดุที่พวกเขาใช้คือความเป็นจริงทางการเมือง ไม่ใช่วัสดุที่ใช้กันโดยทั่วไป”
การตื่นรู้ผ่านการทำลาย
บอยส์เป็นตัวละครสำคัญที่ทำให้เราเข้าใจงานของคริสตอฟ ชลิงเงนซีฟได้ ผู้กำกับละครเวทีและภาพยนตร์ นักเขียนและศิลปินนักกิจกรรมชาวเยอรมันที่เสียชีวิตไปเมื่อปีค.ศ. 2010 ผู้นี้มิได้ปกปิดความเคารพชื่นชมของเขาที่มีต่อบอยส์เลย ความศรัทธาต่อบอยส์ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจนในผลงานด้านการวิพากษ์สังคมของชลิงเงนซีฟ เช่น ใน Ausländer raus! Schlingensiefs Container (ต่างชาติออกไป! คอนเทนเนอร์ของชลิงเงนซีฟ) โปรเจ็คท์ศิลปะและภาพยนตร์เนื่องในสัปดาห์เทศกาลเวียนนาในปีค.ศ. 2000 แนวคิดของการจัดแสดงเป็นแนวของรายการโทรทัศน์ Big Brother ผู้ขอลี้ภัยมารวมตัวกันในตู้คอนเทนเนอร์และลงมติเลือกใครบางคนออกไปรายวัน และจะเป็นเหตุในการถูกขับออกจากประเทศออสเตรีย